ความรู้แบตเตอรี่รถยนต์ ปี 2023

 ความรู้แบตเตอรี่ รถยนต์ ทั้งก่อนเปลี่ยน ขณะเปลี่ยน หลังเปลี่ยนแบตเตอรี่ไปแล้ว ต้องดูแลรักษาอย่างไร ร้านแบตเตอรี่ โอเค ได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นให้ลูกค้าสามารถเข้าใจได้โดยง่ายครับ


แบตเตอรี่รถยนต์ ในไทย มีด้วยกัน 4 ประเภทแบตเตอรี่ ดังนี้

  1. แบตเตอรี่น้ำ เป็น ประเภทแบตเตอรี่ดั้งเดิม ต้องหมั่นดูแลน้ำกลั่น ให้ได้ระดับอยู่เสมอ
  2. แบตเตอรี่ไฮบริด เป็น ประเภทแบตเตอรี่ ที่มีการพัฒนาเพิ่มเติม เติมน้ำกลั่นบ้าง ประมาณ 6 – 9 เดือนต่อ ครั้ง แรงสตาร์ทจะมากกว่า ประเภทแบตเตอรี่แบบน้ำ
  3. แบตเตอรี่กึ่งแห้ง เป็นแบตเตอรี่แห้ง ที่ยังสามารถเติมน้ำได้ แอมป์จะสูงขึ้น แรงสตาร์ทมาก ราคาไม่ได้แตกต่างกับแบตเตอรี่ ประเภทอื่นมากนัก
  4. แบตเตอรี่แห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเลย ตลอดอายุการใช้งาน แรงสตาร์ทมาก ราคาสูงที่สุด รับประกันนานที่สุด (ในบางยี่ห้อ)

ความรู้แบตเตอรี่ ก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่ สิ่งที่ควรรู้

1.แบตเตอรี่เสื่อม หรือ แบตเตอรี่หมด กันแน่ มีวิธีสังเกตุเบื้องต้นดังนี้ถ้าสตาร์ทไม่ติด แต่ เปิดทุกอย่างได้หมด คือ แบตเตอรี่เสื่อม ถ้าสตาร์ทไม่ติด และ เปิดทุกอย่างไม่ได้เลย คือ แบตเตอรี่หมดแบตเตอรี่เสื่อม ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ แต่ แบตเตอรี่หมด อาจจะไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ก็ได้

2.ถ้าแบตเตอรี่เสื่อม แต่ยังอยู่ในประกัน ให้ลองโทรติดต่อร้านแบตเตอรี่ ที่เคยเปลี่ยนดูก่อน แบตเตอรี่ทุกยี่ห้อ รับประกันขั้นต่ำคือ 12 เดือน ครับ


ขณะเปลี่ยนแบตเตอรี่ สิ่งที่ต้องรู้

1.ต้องสำรองระบบไฟ ขณะทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ เสมอ การสำรองไฟเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ อย่าลืมสำรองไฟทุกครั้ง

2.รุ่นแบตเตอรี่ ขั้วของแบตเตอรี่ ต้องถูกรุ่น ไม่ผิดสเปค


วิธีการดูแล แบตเตอรี่รถยนต์


1.เติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับเสมอ แบตเตอรี่หลายๆรุ่น มีตาแมวให้สังเกตุโดยง่าย


  • แบตเตอรี่น้ำกลั่น ให้ดูระดับน้ำ ทุกๆ เดือน
  • แบตเตอรี่ไฮบริด ให้ดูระดับน้ำ ทุกๆ 6 เดือน
  • แบตเตอรี่กึ่งแห้ง ให้ดูระดับน้ำ ทุก 1 ปี
  • แบตเตอรี่แห้ง ไม่ต้องดูระดับน้ำ


2.ก่อนลงจากรถ เช็คเสมอว่าไม่ได้ลืมเปิดไฟใดๆไว้ เพื่อป้องกันปัญหาแบตเตอรี่หมด


3.หลังจากใช้งาน ถ้าเริ่มมีสัญญานเตือน ควรรีบเข้าตรวจสอบ แบตเตอรี่ โดยเร็ว เพื่อป้องกันปัญหา แบตเตอรี่ เสื่อม โดยไม่รู้ตัว


อายุแบตเตอรี่รถยนต์


อายุแบตรถยนต์ ในปัจจุบัน มีระยะเวลายาวนานเท่าไร แบตเตอรี่รถยนต์แต่ละประเภท มีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันจริงหรือไม่ สัญญาณเตือนล่วงหน้าเป็นแบบไหน และ แบตเตอรี่หมด แบตเตอรี่เสื่อม ต่างกันอย่างไร ร้านแบตเตอรี่โอเคค มีคำตอบให้ท่านแล้ว


หลายๆท่านคงอยากรู้ว่า อายุแบตเตอรี่รถยนต์ ในปัจจุบันมี อายุยาวนานเท่าไร  ซึ่งร้านแบตเตอรี่โอเค ได้พบว่า แบตเตอรี่รถยนต์ มีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ย ประมาณ 18 เดือนจะเริ่มเสื่อมสภาพ แต่ถ้าเราค้นหาทางอินเตอร์เน็ต จะเห็นได้ว่าคำตอบของแต่ละท่านมีหลากหลายมาก บางท่านใช้งานได้ไม่ถึงปี บางท่านใช้งานได้ยาวนาน ถึง 7 ปีเลยทีเดียว ซึ่งอายุแบตเตอรี่ ที่แตกต่างกันนั้น ประกอบไปด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ดังนี้


การดูแลแบตเตอรี่


แบตเตอรี่ทุกประเภท ต้องมีการดูแลบ้าง ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่ไฮบริด แบตเตอรี่กึ่งแห้ง หรือ แม้แต่แบตเตอรี่แห้ง ก็ตาม โดยแต่ละประเภท มีการดูแลรักษาดังนี้


  • แบตเตอรี่น้ำ ควร ดูระดับน้ำกลั่นทุก 1 เดือน   ไม่ควร ลืมเติมน้ำกลั่น เปิดไฟทิ้งไว้
  • แบตเตอรี่ไฮบริด ควร ดูระดับน้ำกลั่นทุก 6 เดือน   ไม่ควร ลืมเติมน้ำกลั่น เปิดไฟทิ้งไว้
  • แบตเตอรี่กึ่งแห้ง ควร ดูระดับน้ำกลั่นทุก 12 เดือน ไม่ควร เปิดไฟทิ้งไว้
  • แบตเตอรี่แห้ง ไม่ควร เปิดไฟทิ้งไว้

แบตเตอรี่ทุกชนิด ให้ระมัดระวังเรื่อง การลืมเปิดไฟทิ้งไว้ ยิ่งลืมบ่อยเท่าไร อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ ก็จะสั้นลงเท่านั้น

แบตเตอรี่ที่มีการดูแลระดับน้ำ โดยเฉพาะ แบตเตอรี่ น้ำ ให้ระวังที่สุดเรื่องการปล่อยให้ระดับน้ำแห้ง เพราะ ถ้าลืม แบตเตอรี่มีโอกาศเสียสูง


การจ่ายไฟของไดชาร์จ

ไดชาร์จคือตัวชาร์จไฟเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ถ้าไดชาร์จมีปัญหา ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ ทำให้แบตเตอรี่ มีอายุ ที่สั้นกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าน้อยกว่า 13.0 โวลท์ จะทำให้ ไดชาร์จ ชาร์จไฟเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ ได้น้อย จะเกิดปัญหา แบตเตอรี่ค่อยๆ ไฟอ่อนลงๆ เรื่อย จนสตาร์ทไม่ติดในที่สุด หรือถ้าอาการหนักมากๆ เครื่องยนต์อาจดับกลางถนนได้ ถ้ามากกว่า 14.5 โวลท์ จะทำให้ ไดชาร์จ ชาร์จไฟเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ มากเกินไป อาจเกิดปัญหา แบตเตอรี่บวม ร้อนจัด จนแบตเตอรี่เสียเร็วกว่าที่ควรจะเป็นได้

ลักษณะ อายุแบตเตอรี่ เสื่อมไปเองตามอายุการใช้งาน จากกราฟจะเห็นว่า ค่า CCA จะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ตามอายุการใช้งาน เมื่อใดก็ตามที่แบตเตอรี่เสีย ค่า CCA ของแบตเตอรี่ลูกนั้นๆ จะตกลงไปเรื่อยๆ เมื่อน้อยกว่า ค่า CCA ที่รถต้องการใช้ ก็จะเกิดอาการสตาร์ทรถไม่ติด ซึ่งช่วงสุดท้ายของ อายุแบตเตอรี่ ก่อนที่จะสตาร์ทไม่ติดแบบถาวร ค่า CCA จะมีอาการ เหวี่ยงขึ้นลง ทำให้บางครั้งก็สตาร์ทรถติด บางครั้งก็สตาร์ทรถไม่ติด ถ้ามีลักษณะอาการแบบนี้ ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้ เลยครับ

ลักษณะ อายุแบตเตอรี่ เสื่อมไปแล้ว แต่มีการชาร์จไฟเพิ่มเติม จากกราฟจะเห็นว่า ค่า CCA จะต่ำกว่าความต้องการที่รถต้องการใช้ แต่เมื่อมีการชาร์จไฟเข้าไปในแบตเตอรี่เพิ่มแล้ว แบตเตอรี่ลูกนั้น อาจจะมี ค่า CCA ที่สูงขึ้นมา จนทำให้สามารถสตาร์ทรถได้ แต่ไม่นาน ค่า CCA ก็จะตกลงไปอีกครั้ง เราเรียกอาการนี้ว่า แบตเตอรี่เก็บไฟไม่อยู่ ซึ่งก็เป็นลักษณะของแบตเตอรี่เสีย นั่นเอง

ลักษณะ อายุแบตเตอรี่ ไม่เสีย เพียงแค่ไฟหมดเฉยๆ และมีการชาร์จไฟเข้าไป จากกราฟจะเห็นว่า ค่า CCA ลดต่ำกว่าความต้องการที่รถต้องการใช้ อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาการแบบนี้ ส่วนใหญ่ จะเกิดจากการคลายไฟออกจากแบตเตอรี่แบบกระทันหัน สาเหตุส่วนใหญ่ ก็จะมีการลืมเปิดไฟทิิ้งไว้, รถไฟรั่ว, ไดชาร์จมีปัญหา ทำให้ ค่า CCA หายไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมีการชาร์จไฟเข้าไปในแบตเตอรี่เพิ่มแล้ว แบตเตอรี่ลูกนั้น จะมี ค่า CCA ที่สูงขึ้นมา จนทำให้สามารถสตาร์ทรถได้ และแบตเตอรี่สามารถเก็บไฟได้ปกติ ไม่เหลือต่ำกว่ามาตรฐานแบบอาการของแบตเตอรี่เสีย  (ถ้าแบตเตอรี่ อายุ ไม่ถึง 1 ปี และมีอาการแบบนี้ สันนิษฐานได้เลยว่า แบตเตอรี่ไฟหมดครับ)


เช็คราคาแบตเตอรี่รถยนต์ รถเก๋ง อัพเดทล่าสุดปี 2566

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบตเตอรี่รถยนต์ ทำไมสำคัญมาก

8 รุ่น แบตเตอรี่รถยนต์ ปี 2023